(แฟ้มภาพซินหัว : รถยนต์รุ่นโมเดล 3 ของเทสลาที่จีนผลิต จอดเรียงอยู่ที่โรงงานกิกะแฟคทอรีในเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ทางตะวันออกของจีน วันที่ 26 ต.ค. 2020)
ซานฟรานซิสโก, 23 เม.ย. (ซินหัว) -- เมื่อวันอังคาร (22 เม.ย.) เทสลา อิงก์ (Tesla Inc.) ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรก (มกราคม-มีนาคม) ของปี 2025 มีรายได้รวมลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบปีต่อปี เหลือ 1.93 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.45 แสนล้านบาท)
ส่วนกำไรขั้นต้นรวมอยู่ที่ 3.15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.05 แสนล้านบาท) ลดลงร้อยละ 15 เมื่อเทียบปีต่อปี และกำไรต่อหุ้นร่วงลงจาก 45 เซ็นต์ (ราว 0.55 บาท) เมื่อปี 2024 อยู่ที่ 27 เซ็นต์ (ราว 0.33 บาท)
รายได้สุทธิประจำไตรมาสที่คำนวณตามหลักการบัญชีทั่วไป (GAAP) ลดลงเหลือ 410 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.37 หมื่นล้านบาท) ลดลงร้อยละ 71 เมื่อเทียบปีต่อปี รายได้ที่ลดลงนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการส่งมอบรถยนต์และราคาขายเฉลี่ยรถยนต์ที่ลดลง โดยรายได้จากการดำเนินงานลดลงร้อยละ 66 เมื่อเทียบปีต่อปี เหลือ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.34 หมื่นล้านบาท) ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ร้อยละ 2.1
เทสลาส่งมอบรถยนต์สำหรับไตรมาสแรกของปี 2025 รวม 336,681 คัน ลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบปีต่อปี ขณะที่การผลิตรถยนต์อยู่ที่ 362,615 คัน ลดลงร้อยละ 16 เมื่อเทียบปีต่อปี โดยเทสลาผลิตรถยนต์รุ่นโมเดล 3/วาย (Model 3/Y) จำนวน 345,454 คัน และส่งมอบไป 323,800 คัน อีกทั้งผลิตรถยนต์รุ่นอื่นๆ 17,161 คัน และส่งมอบไป 12,881 คัน
อนึ่ง เทสลามีกระแสเงินสดอิสระ (free cash flow) อยู่ที่ 660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.2 หมื่นล้านบาท) ในช่วงสิ้นสุดไตรมาสแรกของปี 2025 ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 126 เมื่อเทียบปีต่อปี
เทสลาระบุว่าความไม่แน่นอนในตลาดยานยนต์และพลังงานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากนโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วส่งผลกระทบเชิงลบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก รวมถึงโครงสร้างต้นทุนของเทสลาและบริษัทในกลุ่มเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงนี้ กอปรกับกระแสความเห็นทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป อาจส่งผลต่อความต้องการสินค้าของบริษัทฯ ในระยะสั้นอย่างมีนัยสำคัญ
เทสลายังยอมรับว่าโครงสร้างภาษีศุลกากรในปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานมากกว่าธุรกิจยานยนต์ โดยเทสลากำลังดำเนินการเพื่อรักษาเสถียรภาพของธุรกิจในระยะกลางถึงระยะยาว และมุ่งรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจ
นอกจากนี้ เทสลามองว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นเสาหลักสำคัญในการเติบโตของบริษัทฯ โดยโครงสร้างพื้นฐานปัญญาประดิษฐ์กำลังผลักดันให้ความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเปิดโอกาสให้กับผลิตภัณฑ์จัดเก็บพลังงานของบริษัทฯ มากขึ้น